สวนตาลเมืองปทุม
หลายคนอาจจะไม่รู้เหมือนผม หรืออาจจะมีผมคนเดียวที่ไม่รู้ว่าของดีขึ้นชื่อของปทุมธานีคือ ลูกตาล “ลุงเหน่ง “ สมาชิกชุมชนประปาเก่า เล่าให้ผมฟังแบบภาคภูมิใจว่าว่าถ้าตาลเมืองปทุมจะมีตาลน้อยกว่าเมืองเพชรก็คงแพ้แค่เพียงลูกเดียวเท่านั้น
แต่นั้นคืออดีตของเมืองปทุม เพราะทุกวันนี้สวนตาลแถบนี้มีเหลืออยู่เพียวแค่ 10% ของที่เคยมีมา เนื่องจากปทุมธานีก็เหมือนเมืองอื่นๆ ที่เรียกว่าปริมณฑล ที่ผลของการพัฒนา กทม. ได้ไปเปลี่ยนแปลง Cultural Landscape จากพื้นที่เกษตรกรรมเดิม ที่รายล้อมไปด้วยสวนตาลและนาข้าว ไปเป็นพื้นชานเมืองที่ต่อขยายออกมาจากรังสิต โดยแวดล้อมไปด้วยหมู่บ้านจัดสรรโครงการต่างๆ ทำให้ชาวบ้านบางส่วนได้รับประโยชน์จากการพัฒนา เช่น ราคาที่ดินที่สูงขึ้น ความสะดวกสบายที่มากขึ้น แต่ก็มีชาวบ้านบางส่วนที่ได้รับผลกระทบในทางลบ เช่น ปัญหามลพิษ ปัญหาด้านการทำกินที่ต้องลำบากมากขึ้น
ชุมชนบางปรอก ชุมชนประปาเก่า และชุมชนอื่นๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบนและคลองซอยที่ขุดต่ออกมาจากแม่น้ำเจ้าพระยาต่างได้รับผลกระทบมากบ้างน้อยบ้าง เช่น น้ำเน่าเสียที่รุนแรงในฤดูร้อนและ น้ำท่วมในฤดูฝนเนื่องจากการที่ต้องเป็นพื้นที่รับน้าฝนไม่ให้ท่วม กทม ทำให้นาล่ม และสูญเสียพันธ์ตาลพื้นบ้านไปอยู่พอสมควร
เครือข่ายชุมชนเมืองปทุมเป็นหนึ่งในความพยายามของชาวบ้านที่ต้องการส่งสารถึงหน่วยงานท้องถิ่นว่า ชุมชนอยากจะขอกำหนดวิธีชีวิตของตนบ้างได้ไหม เนื่องจากการพัฒนาที่ผ่านมานั้น รัฐไม่เคยถามชาวบ้านเลยว่าชาวบ้านต้องการอะไร (หรืออาจเพราะความต้องการของชาวบ้านไม่เอื้อประโยชน์ใดๆ ต่อผลประโยชน์ของรัฐ ซึ่งรัฐมีความหมายแคบลงเหลือแค่เพียงกลุ่มการเมืองท้องถิ่น) ตัวอย่างเช่น จากเดิมเส้นทางคมนาคมโดยใช้คลองถูกแทนที่ด้วยถนนหนทาง เรือแจวที่ชาวบ้านเคยมีก็ถูกรื้อออกเพื่อนำไม้ไปขายเพราะจอดไว้ก็ไม่ได้ใช้อีกต่อไป บ้านเรือนริมน้ำบางส่วนถูกรื้อเพื่อสร้างใหม่แบบอาคารที่เราเห็นกันดาษดื่นตามโครงการบ้านจัดสรร
คลองมีความหมายเหลือเพียแค่ทางระบายน้ำทิ้ง ทั้งจากหมู่บ้านจัดสรรและอาคารพานิชยกรม บ้านที่ปลูกใหม่หันหน้าสู่ถนน วิถีชีวิตริมน้ำที่ชาวบ้านคุ้นเคยได้ทยอยหายไปเพราะการพัฒนาบังคับให้พวกเขาเปลี่ยนแบบแผนพฤติกรรม เอกลักษณ์ชุมชนป็นเรื่องไร้สาระตราบเท่าที่มันยังเปลี่ยนเป็นสินค้าไม่ได้ สิทธิชุมชนมิพักต้องพูดถึง แม้ว่าจะเขียนอยู่หราในรัฐธรรมนูญก็ตาม
ถึงแม้ว่าชาวบ้านจะมีการรวมตัวกันจัดกิจกรรมที่เป็นสาธารณะประโยชน์ ทั้งเรื่องเอกลักษณ์ สิ่งแวดล้อม หรือเรื่องอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ชุมชนมีความสามารถในการจัดการประเด็นสาธารณะผ่านองค์กรชาวบ้านได้ดีในระดับหนึ่งก็ตาม แต่การพัฒนาที่ภาครัฐเห็นว่าที่ตัวเองทำนั้นถูกต้องกว่า เจริญกว่า หรือดีกว่า เพราะรัฐท้องถิ่นเองก็เต็มไปด้วยเทคโนแครต ชาวบ้านจบ ป 4 ป 7 มันจะไปรู้อะไร ซ้ำร้ายชาวบ้านอาจถูกประณามอีกด้วยว่าใจแคบ ไม่เสียสละเพื่อส่วนรวม แบบที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากโครงการท่อก๊าซและเขื่อนโดน (ก็แหงล่ะ มันไม่ได้ผ่านบ้านเมิงนี่ เมิงก็พูดให้เคนอื่นสียสละได้)
ในสังคมอย่างสังคมไทยที่ราคาลูกกระสุนนั้นถูกกว่าการมานั่งทำประชาพิจารณ์ ผมเลยเอาภาพสวนตาลที่คิดว่าเป็นผืนท้ายๆ ในเขตเมืองปทุม (อยู่ตรงข้ามกับเทศบาลนี่เอง) มาฝากไว้ให้ดูเล่นก่อนนะครับ เพราะอีกไม่นานเราก็จะไม่ได้เห็นภาพนี้อย่างแน่นอน
แต่นั้นคืออดีตของเมืองปทุม เพราะทุกวันนี้สวนตาลแถบนี้มีเหลืออยู่เพียวแค่ 10% ของที่เคยมีมา เนื่องจากปทุมธานีก็เหมือนเมืองอื่นๆ ที่เรียกว่าปริมณฑล ที่ผลของการพัฒนา กทม. ได้ไปเปลี่ยนแปลง Cultural Landscape จากพื้นที่เกษตรกรรมเดิม ที่รายล้อมไปด้วยสวนตาลและนาข้าว ไปเป็นพื้นชานเมืองที่ต่อขยายออกมาจากรังสิต โดยแวดล้อมไปด้วยหมู่บ้านจัดสรรโครงการต่างๆ ทำให้ชาวบ้านบางส่วนได้รับประโยชน์จากการพัฒนา เช่น ราคาที่ดินที่สูงขึ้น ความสะดวกสบายที่มากขึ้น แต่ก็มีชาวบ้านบางส่วนที่ได้รับผลกระทบในทางลบ เช่น ปัญหามลพิษ ปัญหาด้านการทำกินที่ต้องลำบากมากขึ้น
ชุมชนบางปรอก ชุมชนประปาเก่า และชุมชนอื่นๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบนและคลองซอยที่ขุดต่ออกมาจากแม่น้ำเจ้าพระยาต่างได้รับผลกระทบมากบ้างน้อยบ้าง เช่น น้ำเน่าเสียที่รุนแรงในฤดูร้อนและ น้ำท่วมในฤดูฝนเนื่องจากการที่ต้องเป็นพื้นที่รับน้าฝนไม่ให้ท่วม กทม ทำให้นาล่ม และสูญเสียพันธ์ตาลพื้นบ้านไปอยู่พอสมควร
เครือข่ายชุมชนเมืองปทุมเป็นหนึ่งในความพยายามของชาวบ้านที่ต้องการส่งสารถึงหน่วยงานท้องถิ่นว่า ชุมชนอยากจะขอกำหนดวิธีชีวิตของตนบ้างได้ไหม เนื่องจากการพัฒนาที่ผ่านมานั้น รัฐไม่เคยถามชาวบ้านเลยว่าชาวบ้านต้องการอะไร (หรืออาจเพราะความต้องการของชาวบ้านไม่เอื้อประโยชน์ใดๆ ต่อผลประโยชน์ของรัฐ ซึ่งรัฐมีความหมายแคบลงเหลือแค่เพียงกลุ่มการเมืองท้องถิ่น) ตัวอย่างเช่น จากเดิมเส้นทางคมนาคมโดยใช้คลองถูกแทนที่ด้วยถนนหนทาง เรือแจวที่ชาวบ้านเคยมีก็ถูกรื้อออกเพื่อนำไม้ไปขายเพราะจอดไว้ก็ไม่ได้ใช้อีกต่อไป บ้านเรือนริมน้ำบางส่วนถูกรื้อเพื่อสร้างใหม่แบบอาคารที่เราเห็นกันดาษดื่นตามโครงการบ้านจัดสรร
คลองมีความหมายเหลือเพียแค่ทางระบายน้ำทิ้ง ทั้งจากหมู่บ้านจัดสรรและอาคารพานิชยกรม บ้านที่ปลูกใหม่หันหน้าสู่ถนน วิถีชีวิตริมน้ำที่ชาวบ้านคุ้นเคยได้ทยอยหายไปเพราะการพัฒนาบังคับให้พวกเขาเปลี่ยนแบบแผนพฤติกรรม เอกลักษณ์ชุมชนป็นเรื่องไร้สาระตราบเท่าที่มันยังเปลี่ยนเป็นสินค้าไม่ได้ สิทธิชุมชนมิพักต้องพูดถึง แม้ว่าจะเขียนอยู่หราในรัฐธรรมนูญก็ตาม
ถึงแม้ว่าชาวบ้านจะมีการรวมตัวกันจัดกิจกรรมที่เป็นสาธารณะประโยชน์ ทั้งเรื่องเอกลักษณ์ สิ่งแวดล้อม หรือเรื่องอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ชุมชนมีความสามารถในการจัดการประเด็นสาธารณะผ่านองค์กรชาวบ้านได้ดีในระดับหนึ่งก็ตาม แต่การพัฒนาที่ภาครัฐเห็นว่าที่ตัวเองทำนั้นถูกต้องกว่า เจริญกว่า หรือดีกว่า เพราะรัฐท้องถิ่นเองก็เต็มไปด้วยเทคโนแครต ชาวบ้านจบ ป 4 ป 7 มันจะไปรู้อะไร ซ้ำร้ายชาวบ้านอาจถูกประณามอีกด้วยว่าใจแคบ ไม่เสียสละเพื่อส่วนรวม แบบที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากโครงการท่อก๊าซและเขื่อนโดน (ก็แหงล่ะ มันไม่ได้ผ่านบ้านเมิงนี่ เมิงก็พูดให้เคนอื่นสียสละได้)
ในสังคมอย่างสังคมไทยที่ราคาลูกกระสุนนั้นถูกกว่าการมานั่งทำประชาพิจารณ์ ผมเลยเอาภาพสวนตาลที่คิดว่าเป็นผืนท้ายๆ ในเขตเมืองปทุม (อยู่ตรงข้ามกับเทศบาลนี่เอง) มาฝากไว้ให้ดูเล่นก่อนนะครับ เพราะอีกไม่นานเราก็จะไม่ได้เห็นภาพนี้อย่างแน่นอน