Habitat Day
สองอาทิตย์ที่ผ่านมาของผมในเมืองไทย หมดไปกับการพบเพื่อนฝูงส่วนหนึ่ง ประกอบกับที่บ้านไม่มีเน็ทใช้เลยไม่ได้อัพเดทอะไรเลย อีกส่วนหนึ่งก็ต้องไปช่วยงาน World Habitat Day ที่จัดงานที่ท้องสนามหลวงระหว่างวันที่ 3-8 ตุลาคมที่ผ่านมา ถ้าใครผ่านไปแถวนั้นจะเห็นมหกรรมการนำเสนอรูปแบบที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อย ที่ UN-Habitat ยกให้ประเทศไทยเป็นต้นแบบการแก้ปัญหา
UN-Habitat นั้นเป็นหน่วยงานหนึ่งใน UN เป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องที่อยู่อาศัยแห่งองค์การสหประชาชาติ คล้ายๆ กับที่ Unicef ดูเรื่องเด็กหรือ UNESCO ดูด้านศิลปวัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ ผมเพิ่งมารู้ภายหลังว่างานนี้ใหญ่มาก เพราะนายกมาเปิดงานเอง และตลอดงานก็มีรัฐมนตรีมาข้องแวะตั้งแต่เริ่มจนจบถึงสี่คนด้วยกัน
สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช) ที่เป็นหัวหอกในการทำโครงการ "บ้านมั่นคง" โครงการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของชุมชนแออัดทั่วประเทศ ได้เป็นที่สนอกสนใจของนานาชาติ ทำให้เกิดงานนี้ขึ้นอย่างที่กล่าวมาแล้ว ตัวผมพอกลับมาถึงก็ได้รับการติดต่อจากพี่ปุ้ย เลขาพี่เขียว (ผู้อำนวยการของ พอช) ให้ไปเป็นล่ามในงานนี้ ตลอดจนถึงนำคณะดูงานจากศรีลังกาและกัมพูชา ไปดูโครงการที่จังหวัดอุบลราชธานีและสุรินทร์ เรียกว่ายังไม่ทันจะได้ดู กทม เลย ก็ต้องระเห็ดไปต่างถิ่นแล้ว
อันที่จริงพื้นที่ที่ผมทำไว้ก่อนหน้าที่จะไปเยอรมันนั้นอยู่ที่คลองบางบัว เขตบางเขน แต่ผมอยากไปดูโครงการในบริบทต่างจังหวัดบ้าง ประกอบกับ อ. เซ้ง ที่เป็นผู้ประสานงานสายอีสาน จะไปเส้นอุบล ผมเลยบอกกับพี่ปุ้ยว่าผมขอไปอีสานก็แล้วกัน ซึ่งเป็นไปตามที่ผมคาดที่ว่า โครงการนี้เกิดขึ้นที่ต่างจังหวัดมากกว่า กทม และมีโครงสร้างที่เอื่อต่อการทำงานด้วย เนื่องจากกลไกเกิดขึ้นในระดับเทศบาลและเมือง ต่างจาก กทม ที่เกิดจากชาวบ้านเป็นส่วนมาก แล้วก็เคลื่อนกระบวนต่อไปอย่างเชื่องช้า
จากเวทีแลกเปลี่ยนที่จัดขึ้นภายหลังจากการทัศนศึกษาดูงานทุกสาย (มีทั้งหมดสิบสายทั่วประเทศ) ทำให้ผมได้รู้ว่าของเรานั้นดีกว่าเขาเพื่อนจริงๆ เพราะประเทศอื่นๆ นั้นไม่มีหน่วยงานรัฐที่เป็นกลไกเชื่อมชาวบ้านกับรัฐท้องถิ่น และไม่มีงบประมาณสนับสนุนใดๆ ด้วย แต่ถึงแม้ของเราจะถือว่าดีในระดับโครงสร้างการทำงานแต่ในรายละเอียดก็ยังมีปัญหาอยู่บ้าง
ที่ผมชอบอย่างหนึ่งคือความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับชุมชนนั้นเผยให้เห็นออกมาชัดเจนมาก ซึ่งเป็นลักษณะแบบลูกพี่กับลูกน้อง อย่าไปถามหาประชาธิปไตยตามแนวคิดแบบตะวันตกเลยนะครับ มันเรื่องอุดมคติทั้งนั้น หาไม่เจอในบริบทต่างจังหวัดหรอกครับที่นักการเมืองคือลูกพี่ ชาวบ้านก็ลูกน้อง ยกตัวอย่างที่สุรินทร์ที่งานนี้ออกหน้ามาทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด สส นายกเทศบาล รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย เพราะท่านๆ เขาได้ข่าวว่าคณะดูงานมาจากสหประชาชาติเท่านั้นแหละ เกณฑ์มาแทบทั้งเทศบาล แต่งานที่นักการเมืองได้หน้านี่ผมละชอบจริงๆ เชื่อมั้ย หมดงานนี้ ชาวบ้านได้น้ำประปาใช้แน่นอน เพราะท่านรัฐมนตรีเอาหัวหน้าส่วนงานประปาจังหวัดมาด้วย ภาษากลยุทธเรียกว่า win-win scenario นักการเมืองได้หน้า ชาวบ้านได้สัญญาเช่าที่ พอช ได้ขยายโครงการ กลไกที่ได้ผลคือให้บารมีลูกพี่ไปซะแล้วเราเอาเนื้องาน งานก็จะลื่นไหลขึ้น
อันที่จริงอยากโพสต์รูปทิ้งเอาไว้บ้าง แต่ผมถ่ายมาแต่วีดีโอทั้งหมด อยากเล่ามากกว่านี้ด้วย แต่ไม่สะดวก รอให้มีเน็ทใช้ก่อนแล้วกันนะครับ ขอยกไว้เป็นงวดหน้านะ
UN-Habitat นั้นเป็นหน่วยงานหนึ่งใน UN เป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องที่อยู่อาศัยแห่งองค์การสหประชาชาติ คล้ายๆ กับที่ Unicef ดูเรื่องเด็กหรือ UNESCO ดูด้านศิลปวัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ ผมเพิ่งมารู้ภายหลังว่างานนี้ใหญ่มาก เพราะนายกมาเปิดงานเอง และตลอดงานก็มีรัฐมนตรีมาข้องแวะตั้งแต่เริ่มจนจบถึงสี่คนด้วยกัน
สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช) ที่เป็นหัวหอกในการทำโครงการ "บ้านมั่นคง" โครงการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของชุมชนแออัดทั่วประเทศ ได้เป็นที่สนอกสนใจของนานาชาติ ทำให้เกิดงานนี้ขึ้นอย่างที่กล่าวมาแล้ว ตัวผมพอกลับมาถึงก็ได้รับการติดต่อจากพี่ปุ้ย เลขาพี่เขียว (ผู้อำนวยการของ พอช) ให้ไปเป็นล่ามในงานนี้ ตลอดจนถึงนำคณะดูงานจากศรีลังกาและกัมพูชา ไปดูโครงการที่จังหวัดอุบลราชธานีและสุรินทร์ เรียกว่ายังไม่ทันจะได้ดู กทม เลย ก็ต้องระเห็ดไปต่างถิ่นแล้ว
อันที่จริงพื้นที่ที่ผมทำไว้ก่อนหน้าที่จะไปเยอรมันนั้นอยู่ที่คลองบางบัว เขตบางเขน แต่ผมอยากไปดูโครงการในบริบทต่างจังหวัดบ้าง ประกอบกับ อ. เซ้ง ที่เป็นผู้ประสานงานสายอีสาน จะไปเส้นอุบล ผมเลยบอกกับพี่ปุ้ยว่าผมขอไปอีสานก็แล้วกัน ซึ่งเป็นไปตามที่ผมคาดที่ว่า โครงการนี้เกิดขึ้นที่ต่างจังหวัดมากกว่า กทม และมีโครงสร้างที่เอื่อต่อการทำงานด้วย เนื่องจากกลไกเกิดขึ้นในระดับเทศบาลและเมือง ต่างจาก กทม ที่เกิดจากชาวบ้านเป็นส่วนมาก แล้วก็เคลื่อนกระบวนต่อไปอย่างเชื่องช้า
จากเวทีแลกเปลี่ยนที่จัดขึ้นภายหลังจากการทัศนศึกษาดูงานทุกสาย (มีทั้งหมดสิบสายทั่วประเทศ) ทำให้ผมได้รู้ว่าของเรานั้นดีกว่าเขาเพื่อนจริงๆ เพราะประเทศอื่นๆ นั้นไม่มีหน่วยงานรัฐที่เป็นกลไกเชื่อมชาวบ้านกับรัฐท้องถิ่น และไม่มีงบประมาณสนับสนุนใดๆ ด้วย แต่ถึงแม้ของเราจะถือว่าดีในระดับโครงสร้างการทำงานแต่ในรายละเอียดก็ยังมีปัญหาอยู่บ้าง
ที่ผมชอบอย่างหนึ่งคือความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับชุมชนนั้นเผยให้เห็นออกมาชัดเจนมาก ซึ่งเป็นลักษณะแบบลูกพี่กับลูกน้อง อย่าไปถามหาประชาธิปไตยตามแนวคิดแบบตะวันตกเลยนะครับ มันเรื่องอุดมคติทั้งนั้น หาไม่เจอในบริบทต่างจังหวัดหรอกครับที่นักการเมืองคือลูกพี่ ชาวบ้านก็ลูกน้อง ยกตัวอย่างที่สุรินทร์ที่งานนี้ออกหน้ามาทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด สส นายกเทศบาล รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย เพราะท่านๆ เขาได้ข่าวว่าคณะดูงานมาจากสหประชาชาติเท่านั้นแหละ เกณฑ์มาแทบทั้งเทศบาล แต่งานที่นักการเมืองได้หน้านี่ผมละชอบจริงๆ เชื่อมั้ย หมดงานนี้ ชาวบ้านได้น้ำประปาใช้แน่นอน เพราะท่านรัฐมนตรีเอาหัวหน้าส่วนงานประปาจังหวัดมาด้วย ภาษากลยุทธเรียกว่า win-win scenario นักการเมืองได้หน้า ชาวบ้านได้สัญญาเช่าที่ พอช ได้ขยายโครงการ กลไกที่ได้ผลคือให้บารมีลูกพี่ไปซะแล้วเราเอาเนื้องาน งานก็จะลื่นไหลขึ้น
อันที่จริงอยากโพสต์รูปทิ้งเอาไว้บ้าง แต่ผมถ่ายมาแต่วีดีโอทั้งหมด อยากเล่ามากกว่านี้ด้วย แต่ไม่สะดวก รอให้มีเน็ทใช้ก่อนแล้วกันนะครับ ขอยกไว้เป็นงวดหน้านะ
6 Comments:
หวัดดีพี่ม้าก นึกว่าคุณพี่หายสาบสูญไปซะละ ...
ขอให้สนุกกับเมืองไทยและน้ำพริกนะคะ อย่าลืมทานไข่เยอะๆด้วย
มิน่า หายไปเลย
อิจฉาๆๆ คนได้กลับเมืองไทยแล้ว
คิดถึงนะพี่
^
^
^
เอ่อ ชื่อไม่ขึ้น
ปอ... ค้า
สวัสดีคุนณัฐวุฒิ ยังติดตามอยู่นะครับ ขอให้มีความสุขขอรับ
ขอให้ได้อินเตอร์เนทติดบ้านใวใวน่ะ เพื่อประโยชน์ของการบ้านเพื่อนๆ
ขยันขันแข็งดีจังค่ะ... กลับมาถึงก็ทำงานเลย ^_^
Post a Comment
<< Home